วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2559

นิทานเรืองโม้

นิทานเรื่องโม้


        นิทานที่เป็นเรื่องโม้ของไทย อาจแบ่งได้เป็น ๓ ประเภท คือ เรื่องโม้เกี่ยวกับสิ่งที่ใหญ่โตอย่างเหลือเชื่อ เรื่องโม้เกี่ยวกับความสามารถพิเศษ หรือพลังมหาศาลอย่างเหลือเชื่อ และเรื่องโม้เกี่ยวกับเหตุการณ์อันผิดวิสัย หรือเหตุบังเอิญอย่างเหลือเชื่อ

เรื่องโม้เกี่ยวกับสิ่งที่ใหญ่โตอย่างเหลือเชื่อ

        เรื่องโม้ประเภทนี้จะเล่าถึงความใหญ่โตอย่างเหลือเชื่อของคน สัตว์ สิ่งของ ขนม ผลไม้ ฯลฯ ตัวอย่างเรื่องโม้เกี่ยวกับคนที่มีขนาดใหญ่โต เช่น เรื่องอ้ายง้มฟ้า ของทางภาคเหนือ ตามเรื่องเล่าว่า  ชายคนหนึ่งมีชื่อว่า อ้ายง้มฟ้า เป็นคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่เป็นอันมาก เวลายืนศีรษะแทบจะจรดฟ้าจนต้องก้มศีรษะลง ถ้าอ้ายง้มฟ้าไปไหว้พระที่ถ้ำเชียงดาว เข่าของเขาจะอยู่ที่เมืองพร้าว และเท้าอยู่ที่เชียงราย วันหนึ่งขณะที่อ้ายง้มฟ้าเฝ้าดูไก่ที่เมืองลี้ งูตัวหนึ่งที่อยู่เมืองฮอดจะเลื้อยมากินไก่ อ้ายง้มฟ้าเอื้อมมือใช้ดาบฟันงูขาดเป็น ๒ ท่อน
        เรื่องโม้เกี่ยวกับสัตว์ขนาดใหญ่ เช่น เรื่องตะขาบใหญ่กินช้างของบ้านใน จังหวัดชลบุรี เล่าว่า ตะขาบตัวหนึ่งมีขนาดใหญ่มาก จนสามารถกินช้างได้ มันกินช้างเข้าไปหลายตัว แล้วคายกระดูกกองไว้ ต่อมามีเรือสำเภาลำหนึ่งมาขโมยกระดูกช้างไป ตะขาบตัวนี้จึงวิ่งตามไปที่ทะเล และถูกปูซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าใช้ก้ามหนีบ ตะขาบจึงมีรูปร่าง เป็นปล้องๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
        เรื่องโม้เกี่ยวกับสิ่งที่มีขนาดใหญ่อย่างเหลือเชื่ออีกเรื่องหนึ่ง เล่ากันทางจังหวัดชลบุรี เล่าว่า ชายคนหนึ่งมีรูปร่างขนาดใหญ่โตมาก จนได้ชื่อว่าไอ้ใหญ่ เวลาตกเบ็ด ไอ้ใหญ่ใช้ช้างเป็นเหยื่อล่อปลา อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้าแผ่นดินสั่งให้ไอ้ใหญ่เข้าเฝ้า ต้องใช้เรือสองลำไปรับ แต่ไอ้ใหญ่ยังไม่มาเข้าเฝ้า แต่เอาขนมต้มขาว ซึ่งเคยรับประทานลูกละคำ บรรทุกเรือไปลำละลูก พระเจ้าแผ่นดินเห็นขนมขนาดมหึมา ก็ตกใจ สั่งให้นิมนต์พระภิกษุ ๕๐๐ รูปมาฉัน พระภิกษุฉันไป ๒ วัน ก็ยังไม่ถึงไส้ขนม จนวันที่ ๓ พระภิกษุอยากจะฉันไส้ขนม จึงใช้ส้อมแทงเข้าไป ปรากฏว่า ไส้ขนมพังลงมาทับ ทำให้พระภิกษุมรณภาพไป ๒๕๐ รูป

เรื่องโม้เกี่ยวกับสิ่งที่มีความสามารถพิเศษ หรือมีพลังมหาศาลอย่างเหลือเชื่อ

        ตัวอย่างเรื่องโม้ประเภทนี้ เช่น เรื่องอ้ายเจ็ดไห ของภาคอีสาน เรื่องเล่าว่า เด็กคนหนึ่งเกิดมาสักครู่เดียว ก็ลุกขึ้นมากินข้าวทีเดียวหมดไปเจ็ดไห จึงเป็นคนมีกำลังวังชามาก พอกินข้าวเสร็จก็ถามหาพ่อ แม่บอกว่า พ่ออยู่ที่ไร่ อ้ายเจ็ดไหก็ตามไปที่ไร่ พ่อไม่รู้จัก จึงถามว่า เป็นใคร อ้ายเจ็ดไหก็ตอบว่า เป็นลูกที่เพิ่งคลอดเมื่อกี้นี้เอง แล้วอ้ายเจ็ดไหก็อาสาถางไร่ให้พ่อ ใช้เวลาชั่วครู่หนึ่งก็เสร็จ แล้วก็จัดการแบกไม้ท่อนใหญ่ท่อนหนึ่ง เพื่อเอาไปทำฟืน เมื่อแบกไปถึงท่าน้ำ ก็วางท่อนไม้ลงที่ท่าน้ำ แล้วลงเล่นน้ำ พ่อค้าเรือสำเภามาจอดเรือ เพื่อซักผ้ากัน ซักเสร็จก็เอาผ้าพาดบนท่อนไม้ของอ้ายเจ็ดไห อ้ายเจ็ดไหเล่นน้ำเสร็จ ก็บอกพ่อค้าให้เอาผ้าออก ตนจะเอาไม้กลับบ้าน พ่อค้าเห็นไม้ขนาดใหญ่มาก ก็ไม่เชื่อว่า อ้ายเจ็ดไหจะยกได้ จึงท้าว่า ถ้าอ้ายเจ็ดไหยกไปได้ ก็จะยกเรือสำเภาให้ อ้ายเจ็ดไหก็ยกไม้ให้ดู พ่อค้าจึงต้องยกเรือสำเภาให้


 ตัวอย่างนิทานเรื่องโม้ เรื่องท้าวเจ็ดหวดเจ็ดไห


        ครอบครัวหนึ่งมีลูกอยู่คนหนึ่งชื่อว่า ท้าวเจ็ดหวดเจ็ดไหเป็นคนที่กินจุ กินข้าวหมด   ครั้งละเจ็ดหวด กินปลาร้าหมดครั้งละเจ็ดไห วันหนึ่งพ่อกับแม่ไปป่า ก่อนจะไปได้นึ่งข้าวไว้ลูกชายก็กินจนหมด เมื่อกลับบ้านพ่อแม่เห็นดังนั้นจึงปรึกษากันว่า ทำอย่างไรลูกจึงจะพ้นไปจากอกตน เมื่อตกลงกันได้แล้ว ผู้เป็นพ่อจึงพาลูกไปคล้องช้างในป่า โดยหวังจะให้ช้างเหยียบลูกตาย ลูกกลับคล้องช้างได้จริงๆ ขี่ช้างกลับมาบ้าน ทำให้พ่อโกรธมาก  พ่อจึงพาลูกเข้าป่าไปตัดต้นไม้ใหญ่ โดยพ่อจะเป็นผู้โค่นให้ลูกเอาบ่ารับให้ได้ ลูกก็เอาบ่ารับต้นไม้ ไม้ใหญ่จึงล้มทับลูกชาย ลูกชายจึงร้องให้พ่อช่วย พ่อก็ไม่ช่วยหนีกลับบ้าน  พระอินทร์สงสารเลยลงมาช่วย  ลูกชายก็แบกต้นไม้กลับบ้านได้   
 

        เมื่อไปถึงบ้านลูกจึงถามพ่อว่าจะให้ลูกวางไม้ไว้ตรงไหน พ่อบอกว่าให้วางไว้ที่ท่าน้ำลูกก็เอาไปวางไว้ ขอนไม้นั้นขวางทางเรือสำเภาที่มาค้าขาย  พ่อค้าจึงประกาศให้คนไปช่วยยก โดยจะให้เสื้อผ้าที่บรรทุกสำเภามาเป็นรางวัล  ท้าวเจ็ดหวดเจ็ดไหไปยกขอนไม้นั้นได้จึงได้รับรางวัลจากพ่อค้ามากมาย  จึงหอบเสื้อผ้าที่พ่อค้าให้กลับบ้านไปอาศัยอยู่กับพ่อแม่มีความสุขดังเดิม

ตัวอย่างนิทานเรื่องโม้ เรื่อง ท้าวเจ็ดหวดเจ็ดไห



นิทานมหัศจรรย์

นิทานมหัศจรรย์

        นิทานมหัศจรรย์ตรงกับภาษาอังกฤษว่า fairytale ซึ่งมีผู้แปลตรงตามศัพท์ว่า เทพนิยาย แต่โดยเหตุที่เนื้อเรื่องของนิทานประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องมี "เทพ" หรือเทวดาก็ได้ หากแต่ลักษณะสำคัญของ fairytale คือ นิทานที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับของวิเศษ สิ่งมหัศจรรย์ พฤติกรรมที่เป็นจินตนาการความใฝ่ฝันของมนุษย์ เช่น การแปลงตัว การเหาะเหินเดินอากาศ การเนรมิตของวิเศษ นักคติชนวิทยา จึงมักเรียกนิทานประเภทนี้ว่า นิทานมหัศจรรย์
        นิทานไทยที่เข้าข่ายนิทานมหัศจรรย์ คือ นิทานที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า นิทานจักรๆ วงศ์ๆ ซึ่งเป็นนิทานประเภทที่คนไทยชื่นชอบมาก เป็นเรื่องเกี่ยวกับการผจญภัยของตัวเอก ที่มักมีของวิเศษ และผู้ช่วยเหลือ โครงเรื่องของนิทานจักรๆ วงศ์ๆ มักเข้าตำรา "รักลูกสาวยักษาพากันจร แล้วย้อนกลับมาฆ่าพ่อตาตาย" หรือ "เรียนวิชา ฆ่ายักษ์ ลักนาง" นิทานประเภทนี้ นอกจากผู้เฒ่าผู้แก่จะนิยมเล่าให้ลูกหลานฟังแล้ว ยังมักจะนำไปเล่นเป็นละคร เช่น ละครนอก ละครชาตรี อีกด้วย ไม่ว่าพระเอกในนิทานจักรๆ วงศ์ๆ จะมีชื่อว่า ลักษณวงศ์ ทินวงศ์ วงศ์สวรรค์ สุริวงศ์ จักรษิณ พรหมรินทร์ เป็นต้น โครงเรื่องก็มักเป็นเช่นเดียวกัน อันเป็นเหตุให้คนไทยเรียกนิทาน ที่ดำเนินเรื่องตามที่กล่าวมาข้างต้นนี้ว่า นิทานจักรๆ วงศ์ๆ
        นิทานจักรๆ วงศ์ๆ มักมีตัวละครเป็นเจ้าหญิงเจ้าชาย พระเอกมักเป็นลูกกษัตริย์ ที่เกิดมาพร้อมกับของวิเศษ หรือสัตว์ซึ่งเป็นผู้ช่วยพระเอกในเวลาต่อมา พระเอกในบางเรื่องสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ถ้าเป็นลูกกษัตริย์มักจะเป็นลูกมเหสีเอก เช่น เรื่องสังข์ทอง พระเอกในนิทานจักรๆ วงศ์ๆ มักมีชายาหลายคน ส่วนนางเอกอาจเป็นลูกกษัตริย์ หรือลูกคนสามัญ หรือไม่มีกำเนิดแน่นอน เช่น อยู่ในดอกบัว แล้วฤๅษีนำไปเลี้ยง ในบางเรื่องนางเอกมีกำเนิดจากสัตว์ เช่น เรื่องนางผมหอมของภาคเหนือ นางเอกมีพ่อเป็นช้าง เพราะแม่ดื่มน้ำในรอยเท้าช้าง เรื่องกำพร้าบัวตองของภาคเหนือ นางเอกมีแม่เป็นสุนัข นางเอกอาจเป็นลูกคนเดียว แต่ในเรื่องที่พ่อแม่มีลูกหลายคน นางเอกมักเป็นลูกคนสุดท้อง เช่น นางรจนา ในเรื่องสังข์ทอง


         ตัวละครที่สำคัญอีกตัวหนึ่ง คือ ตัวละครที่เป็นผู้ช่วยพระเอกนางเอก เช่น พระอินทร์ ฤๅษี พระอินทร์และฤๅษี ซึ่งมักเป็นผู้อุปถัมภ์ให้ความช่วยเหลือ เช่น พระอินทร์ อาจเป็นผู้นำพระเอกไปเลี้ยงดู เมื่อถูกทอดทิ้ง อาจเป็นผู้สร้างปราสาทให้นางเอกอยู่ ให้อาวุธ หรือของวิเศษแก่พระเอก คอยช่วยเหลือ เมื่อพระเอกนางเอกตกระกำลำบาก ถ้าพระเอกนางเอกตาย ก็จะช่วยชุบชีวิตให้ โดยเฉพาะฤๅษี มักมีบทบาทนำนางเอกที่พบในดอกบัวไปเลี้ยง
        นิทานจักรๆ วงศ์ๆ อาจเริ่มต้นเรื่องที่กษัตริย์มีมเหสีหลายองค์ และมีการอิจฉาริษยากันระหว่างมเหสีเอก และมเหสีรอง อันเป็นเหตุให้มเหสีเอกและลูก ต้องถูกเนรเทศ ออกไปจากบ้านเมือง เช่นที่พระสังข์ และนางจันท์เทวี ถูกขับไล่ออกจากเมือง พระเอกมักได้รับการอุปถัมภ์จากฤๅษี พระอินทร์ พระยานาค เป็นต้น เมื่อโตขึ้นก็ออกผจญภัย และได้นางเอก โดยอาจต้องทดสอบความสามารถให้พ่อตายอมรับ
        นิทานจักรๆ วงศ์ๆ บางเรื่อง ก็เริ่มต้นที่พระเอกอายุ ๑๖ ปี จะออกเดินทางไปหาคู่ มักลักลอบเข้ามาธิดากษัตริย์ จนเกิดเรื่อง ทะเลาะกันกับกษัตริย์ ซึ่งมักเป็นยักษ์ บางเรื่องพระเอกก็ฆ่ายักษ์ตาย เช่น เรื่องสังข์ศิลป์ชัย บางเรื่องพระเอกก็ถูกฆ่าตาย เช่น เรื่องสุวรรณหงส์ ถ้าพระเอกถูกฆ่า พระอินทร์ก็มักมาช่วยชุบชีวิตให้ฟื้น แล้วย้อนกลับไปฆ่ายักษ์ในภายหลัง

        นิทานจักรๆ วงศ์ๆ มีอยู่ในทุกภาคของประเทศไทย ตัวอย่างเช่น ภาคอีสานมีเรื่อง จำปาสี่ต้น โสวัตร สินไซ นางผมหอม เป็นต้น


        ตัวอย่างนิทานมหัศจรรย์ เรื่องสินไซ


         มีเมืองหนึ่งชื่อว่า เมืองปัญจาล ซึ่งมีท้าวกุศราชครอง มีมเหสีชื่อนางจันทาเทวี พระขนิษฐาของท้าวกุศราช ชื่อนางสุมณฑา ถูกยักษ์ลักพาไปเป็นชายา ภายหลังจึงพาชายาทั้งเจ็ดกลับเมือง อยู่มาไม่นานพระชายาทั้งเจ็ดและพระมเหสีตั้งครรภ์ ประสูติออกมาเป็นโอรสทุกพระองค์ พระมเหสีนางจันทาเทวีประสูติโอรสเป็นราชสีห์ชื่อว่า " สีโห " ส่วนพระชายาองค์สุดท้องประสูติโอรสชื่อว่า " สินไซ" และมีสังข์เป็นอาวุธติดมือมาพร้อมกับประสูติ หมอโหรทำนายว่าพระโอรสสินไซมีบุญญาธิการมาก สามารถปราบยักษ์และศัตรูได้ทั่วจักรวาล พี่สาวทั้งหกอิจฉาน้องสาวมา จึงติดสินบนหมอหูฮาให้ทำนายเท็จกราบทูลท้าวกุศราช ท้าวกุศราชจึงจำยอมขับไล่นางและโอรสสินไซออกจากเมือง เพราะหมอหูฮาทูลว่าพระโอรสจะนำความวิบัติมาสู่บ้านเมือง ท้าวสีโหโอรสมเหสีจันทาเทวีขอติดตามสินไซไปด้วย

         มารดาสินไซพร้อมด้วยท้าวสีโหและสินไซก็เดินป่าพเนจรไป พระอินทร์ทราบเรื่องจึงมาเนรมิตกระท่อมให้แม่ลูกอาศัยอยู่ หกกุมารเจริญวัยได้เสด็จประพาสป่ามาพบกระท่อมของสินไซและมารดา สินไซได้แสดงอภินิหารให้กุมารทั้งหกชม วันหนึ่งกุมารทั้งหกอยากอวดอิทธิฤทธิ์ให้บิดาชม จึงมาติดสินบนให้สินไซเรียกสัตว์เข้าเมือง พระบิดาเห็นดังนั้นจึงคิดว่าพระกุมารมีอิทธิฤทธิ์สามารถเรียกสัตว์ป่าได้จริง ๆ พระบิดาจึงสั่งให้กุมารทั้งหกไปติดตามหานางสุมณฑาที่ยักษ์ลักพาไป พระกุมารทั้งหกจึงอ้อนวอนให้สินไซช่วยเหลือไปตามพระเจ้าอา พระมารดาไม่อยากให้สินไซไป แต่สินไซได้รับรองกับพระมารดาว่าตนเองมีอิทธิฤทธิ์ มีทั้งสังข์ และท้าวสีโหที่จะช่วยขจัดภัยพิบัติทั้งปวง พระมารดาจึงยินยอมให้ไปกับกุมารทั้งหก
        เมื่อกองโยธาไปถึงฝั่งมหาสมุทรสินไซจึงให้กองโยธาและกุมารทั้งหกตั้งทัพคอยอยู่ที่ฝั่งน้ำ ตนและสีโหจะไปยังเมืองยักษ์ติดตามนางสุมณฑาเอง สินไซก็ขี่ท้าวสีโหเหาะไปจนถึงเมืองยักษ์ ได้พบนางสุมณฑาเล่าเรื่องของตนให้ฟัง นางสุมณฑาก็ยินดีแต่นางเองก็ห่วงพระธิดาชื่อนางสุดาจันทร์ ที่ตกเป็นชายาท้าววิรุณนาค เพราะยักษ์ผู้เป็นบิดาเสียพนันกับท้าววิรุณนาค เมื่อยักษ์ผู้เป็นสามีนางสุมณฑาเข้าเมืองทราบว่ามีมนุษย์อยู่ในปราสาท จึงตามหาจนพบสินไซ ทั้งสองรบกันด้วยศาสตร์ศิลป์ต่าง ๆ นานา ในที่สุดสินไซก็ฆ่ายักษ์ได้ และไปเมืองนาคเล่นพนันเอาเมืองกับท้าววิรุณนาค ท้าววิรุณนาคแพ้ยอมยกเมืองให้ แต่ไม่ยอมให้นางสุดาจันทร์ ทั้งสองจึงรบกันสินไซชิงนางไปได้ จึงพานางสุดาจันทร์และนางสุมณฑากลับมายังฝั่งมหาสมุทรที่กุมารตั้งทัพคอยอยู่ กุมารทั้งหกดีใจมาก แต่ไม่รู้จะไปทูลพระบิดาอย่างไรดี จึงหาอุบายฆ่าสินไซ เมื่อได้โอกาสจึงผลักสินไซตกเหวพร้อมกับสีโห หกกุมารจึงยกทัพกลับเมืองพานางสุมณฑาและนางสุดาจันทร์เข้าเมือง ระหว่าทางนางสุมณฑาเป็นห่วงสินไซมาก แต่ก็จนใจจึงนำผ้าสไบแขวนไว้อธิษฐานว่าหากสินไซยังมีชีวิตอยู่ ขอให้นางได้พบผ้าผืนนี้อีก หกกุมารยกทัพกลับถึงเมือง

        ท้าวกุศราชบิดาทรงดีใจมาก ที่หกกุมารมีอิทธิฤทธิ์ปราบยักษ์ปราบนาคได้สำเร็จ จึงจัดงานเฉลิมฉลองเป็นการใหญ่ ส่วนนางสุมณฑาและนางสุดาจันทร์ไม่กล้าจะทูลความจริง เพราะคิดว่าสินไซคงตายแล้ว วันหนึ่งพ่อค้าสำเภาได้พบผ้าสไบซึ่งเป็นผ้ากษัตริย์ จึงนำมาถวายท้าวกุศราช นางสุมณฑาเห็นผ้าของตนที่อธิฐานไว้ จึงทราบว่าพระสินไซยังมีชีวิตอยู่ จึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท้าวกุศราชฟัง ท้าวกุศราชจึงจัดงานฉลองพระนครเจ็ดวันเจ็ดคืน เพื่ออุบายให้ท้าวสินไซมาเที่ยวงานเฉลิมฉลอง และให้นางสุมณฑาคอยติดตามดูคนมาเที่ยวงานเพื่อตามหาสินไซ ฝ่ายสินไซเมื่อถูกผลักตกเหวร้อนถึงพระอินทร์ ๆ มาช่วยชุบชีวิตแล้วให้กลับไปอยู่กับมารดาตามเดิม
        เมื่อมีงานฉลองพระนครก็ไปเดินเที่ยว นางสุมณฑาพบเข้าจึงให้เข้าเฝ้าท้าวกุศราช ๆ สอบถามความจริงจึงสั่งให้ประหารหมอหูฮา และขับไล่พระกุมารทั้งหกและพระชายาทั้งหกไปอยู่เมืองจำปา ท้าวกุศราชก็แต่งราชรถไปรับพระชายาและสินไซเข้าเมือง ส่วนนางสุดาจันทร์ท้าวิรุณนาคมาขอไปเป็นชายาเหมือนเดิม ท้าวสินไซก็ได้ครองราชย์ปกครองราษฎรอยู่ในทศพิธิราชธรรมสืบมา

ตัวอย่างนิทานเรื่องสินไซ



นิทานอธิบายเหตุ

นิทานอธิบายเหตุ


        นิทานอธิบายสาเหตุของภาคอีสานมีเล่ากันในทุกถิ่น ส่วนมากเป็นนิทานขนาดสั้น อธิบายที่มาของสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะที่มาของรูปลักษณะของคน สัตว์ และพืช นิทานประเภทนี้เป็นนิทานที่เล่าถึงสาเหตุที่คน สัตว์ และพืชมีรูปร่างลักษณะ สีสัน หรือส่วนประกอบต่างๆ ที่มาของชื่อสัตว์บางชนิด ตลอดจนสาเหตุที่สัตว์บางชนิดเป็นศัตรูกัน นิทานประเภทนี้หลายเรื่องเกี่ยวโยงไปถึงความเชื่อว่า พระอินทร์ หรือพระพุทธเจ้าเป็นผู้สร้าง หรือบันดาลให้เกิดสิ่งต่างๆ และเป็นผู้ตั้งชื่อให้สัตว์ต่างๆ ด้วยเหตุที่ควายไม่มีฟันบนนี้ ตามเรื่องเล่าว่า เป็นเพราะควายชอบโต้เถียงคน เวลาถูกคนใช้งาน นอกจากจะไม่ยอมทำตามคำสั่งแล้ว ยังด่าคนอีกด้วย พระอินทร์เห็นว่า ถ้าปล่อยไว้เช่นนี้ จะทำความลำบากให้แก่คน จึงตบให้ฟันบนของควายหลุดไป ตั้งแต่นั้นมา ควายจึงไม่มีฟันบนและพูดไม่ได้  เหตุที่งูเหลือมไม่มีพิษ เป็นเพราะพระอินทร์เห็นว่า ถ้าให้งูเหลือมมีพิษมาก จะไม่ดี ต่อมาแมงป่อง และงูจงอางไปขอแบ่งพิษจากงูเหลือมบ้าง งูเหลือมก็ยกให้ไปจนหมด ตั้งแต่นั้นมางูเหลือมจึงไม่มีพิษ กัดคนไม่ตาย ฝ่ายมดตะนอยก็ไปขอแบ่งพิษจากงูเหลือมบ้าง โดยไปยืนเท้าสะเอว จึงทำให้เอวคอดกิ่วไป  ส่วนสาเหตุที่คนตบยุงนั้น เรื่องเล่าว่า เดิมพระอินทร์มอบสิ่วให้ยุงเอาไว้ใช้เจาะกินเลือดคน ยุงจึงมีสิ่วอยู่ที่หัว เวลาจะกินเลือด ยุงต้องออกแรงใช้หัวกดผิวหนังคน จึงจะเจาะกินเลือดได้ ทำให้ยุงไม่พอใจ บินไปขอค้อนมาไว้ตอกสิ่ว พระอินทร์โมโหจึงบอกว่า ค้อนอยู่ที่คนแล้ว เอาหัวเจาะเข้าไปเถอะ แล้วคนจะใช้ค้อนตอกให้เอง ตั้งแต่นั้นมาพอยุงกัด คนก็จะตบทันที  


          นิทานจากตำบลรังกาใหญ่ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา เล่าถึงสาเหตุที่เต่ามีกระดองเป็นลวดลายเช่นนี้ว่า เดิมทีเต่าและกระรอกเป็นเพื่อนกัน วันหนึ่งเมียของกระรอกปวดท้อง จะออกลูก กระรอกได้ไปขอให้เต่ามาช่วยดูแล เต่าขึ้นต้นไม้ไม่ได้ ต้องใช้ปากกัดหางกระรอกไว้ แล้วให้กระรอกปีนขึ้นไป เมื่อกระรอกปีนขึ้นต้นไม้เกือบจะถึงรัง เมียของกระรอกเห็นเต่าก็ร้องทัก เต่าได้ยิน ก็อ้าปากจะพูดตอบ จึงตกลงไปยังพื้นดิน ตัวแตกเป็นชิ้นๆ กลายเป็นสิ่งต่างๆ เช่น เนื้อส่วนหนึ่งก็ไปติดอยู่กับท้ายทอยของคนเรียกกันว่า ก้นเต่า หรือหางเต่า อีกส่วนหนึ่งตกลงไปในน้ำ กลายเป็นผักตับเต่า พระอินทร์รู้สึกสงสารเต่า จึงช่วยหยิบเต่า ตัวที่แตกแล้ว มาต่อกันใหม่ ตั้งแต่นั้นมากระดองเต่าจึงมีลวดลายดังเช่นทุกวันนี้   เหตุที่อีกามีสีดำก็มีนิทานเล่าว่า เดิมอีกากับนกยูงเป็นเพื่อนกัน ทั้งสองผลัดกันเขียนลายให้แก่กัน กาเขียนลวดลายอย่างสวยงามให้นกยูงเสร็จแล้ว นกยูงลงรักให้กา แต่ยังไม่ได้เขียนลวดลายให้ เพราะการีบบินไปกินหมาเน่า ตั้งแต่นั้นมากาจึงมีสีดำ   นิทานที่อธิบายความเป็นศัตรูกันของสัตว์บางชนิด ก็มีหลายเรื่อง เช่น เรื่องของตุ๊กแกกับงูเขียว แมวกับหนู แมวกับเสือ ฯลฯ นิทานอีสานเล่าถึงสาเหตุที่ตุ๊กแกกับงูเขียว เป็นศัตรูกันว่า มีที่มาจากเรื่องราวของแม่ผัวกับลูกสะใภ้ ทะเลาะวิวาทกัน และตบตีกันจนบาดเจ็บ จึงอาฆาตพยาบาทกัน ถึงกับตั้งสัจอธิษฐานว่า จะขอตามไปล้างผลาญกันในชาติต่อไป เมื่อแม่ผัวตาย ก็ไปเกิดเป็นตุ๊กแก ลูกสะใภ้ตายไปเกิดเป็นงูเขียว พองูเขียวออกไข่ ตุ๊กแกก็ไปแอบกินไข่งูเขียวจนหมด พอตุ๊กแกร้อง งูเขียวก็เข้าไปล้วงกินตับตุ๊กแก สัตว์ทั้ง ๒ ชนิดนี้ จึงเป็นศัตรูกัน จนถึงทุกวันนี้


ตัวอย่างนิทานอธิบายเหตุ เรื่องทำไมข้าวจึงมีเมล็ดเล็ก



        เมื่อสมัยดึกดำบรรพ์ ข้าวเกิดขึ้นตามธรรมชาติไม่ต้องปลูก มีผลใหญ่เท่าลูกฟักทอง เวลาข้าวแก่ดีแล้ว ข้าวจะกลิ้งเข้าสู่ยุ้งฉางทันที คนไม่ต้องไปเก็บเกี่ยว เพราะข้าวนั้นมีแม่โพสพเป็นหัวหน้าดูแลครั้งนั้นมีแม่ม่ายคนหนึ่ง นางเป็นคนเจ้าอารมณ์อยู่บ้านเพียงคนเดียว  วันหนึ่งข้าวสุกแล้วก็กลิ้งมาที่บ้านของนางเหมือนปรกติ ข้าวกลิ้งมาจำนวนมากทั้งใต้ถุนบ้านและบนบ้าน นางเป็นคนอารมณ์ร้ายอยู่แล้ว เมื่อเห็นข้าวเกะกะเต็มบ้าน นางก็เอามีดฟันพร้อมทั้งด่าไล่ให้ไปจากบ้านของนาง แม่โพสพได้ยินดังนั้นก็โกรธที่นางไม่รู้จักบุญคุณของข้าว แม่โพสพจึงหนีไปอยู่ป่ากับพระฤษี เป็นเหตุให้ข้าวหายไปจากหมู่บ้านจนผู้คนอดอยากล้มตายหมดเมือง
        มีพ่อเฒ่าแม่เฒ่าสองคนผัวเมียตั้งบ้านอยู่ในป่า ชื่อว่า ปู่เยอย่าเยอ ซึ่งมีชีวิตหลายร้อยปีมาแล้ว โดยไม่ได้ติดต่อกับผู้คนในเมือง ต่อมาข้าวที่มีอยู่ค่อยหมดไป สองเฒ่าจึงพเนจรไปในป่าด้วยความหิว เดินทางไปจนถึงถ้ำพระฤษีที่แม่โพสพมาอาศัยอยู่ด้วย ฤษีเล็งตาทิพย์รู้ว่าสองเฒ่าจะเป็นผู้ที่สืบศาสนาต่อไป จึงเล่าสาเหตุที่ข้าวหายไปจากโลกเพราะแม่โพสพโกรธมนุษย์ที่ไม่รู้บุญคุณข้าวพระฤษีคิดจะช่วยเหลือพ่อเฒ่าแม่เฒ่าจึงอ้อนวอนขอพันธุ์ข้าวจากแม่โพสพ แม่โพสพจึงให้พันธุ์ข้าวเมล็ดเล็กแก่สองเฒ่า แต่สองเฒ่านำไปปลูกก็ไม่ขึ้น เพราะแม่โพสพไม่ได้ไปด้วย จึงกลับมาบอกพระฤษี พระฤษีจึงจับแม่โพสพหักปีกให้มาอยู่กับเมล็ดข้าว สองเฒ่าจึงปลูกข้าวได้งอกงามพระฤษีได้บอกให้สองเฒ่าเคารพแม่โพสพ โดยให้เซ่นไหว้แม่โพสพในนาข้าว และเมื่อเก็บเกี่ยวใช้วัวควายเหยียบย่ำข้าวก็ให้ขอโทษขอขมาด้วย
        ต่อมาภายหลังข้าวก็เจริญงอกงาม ผู้คนทั่วไปก็ได้พันธุ์ข้าวจากปู่เยอย่าเยอจึงมีอาหารอุดมสมบูรณ์เกิดลูกเกิดหลานมากขึ้น
        ด้วยเหตุนี้คน (ชาวอีสาน) จึงต้องเคารพแม่โพสพ รู้บุญคุณข้าวและต้องทำพิธีขอขมาข้าว ตอนเก็บเกี่ยวเรียกว่า บุญคุณลานและพิธี สู่ขวัญข้าวขึ้นเล้า”(สู่ขวัญข้าว) เจ้าพิธีกล่าวขอโทษข้าวที่ต้องเหยียบย่ำและต้องนำไปแลกพริกแลกเกลือ
        ตั้งแต่นั้นมาข้าวจึงมีเมล็ดเล็กมาจนทุกวันนี้ และชาวอีสานมักจะเรียก ปู่เยอย่าเยอมาร่วมกินอาหารในพิธีกรรมต่างๆ ด้วยเพราะเป็นผู้ให้พันธุ์ข้าวแก่มนุษย์

นิทานมุขตลก

นิทานมุขตลก


        นิทานมุขตลกที่นิยมเล่ากันในสังคมไทยมีอยู่เป็นจำนวนมาก อาจแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ เรื่องที่มีลักษณะหยาบโลน และเรื่องที่ไม่หยาบโลน

        เรื่องที่มีลักษณะหยาบโลน ได้แก่ เรื่องเกี่ยวกับพรหมจรรย์กับราคะวิตถาร ในมุขตลกของไทย ผู้ที่ตกเป็นเป้าของการล้อเลียนในเรื่องนี้ส่วนใหญ่คือ ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ได้แก่ พระภิกษุและชี รวมทั้งผู้ที่เคยบวชเรียนนานๆ แล้วสึก และในบรรดาเครือญาติด้วยกัน ซึ่งสังคมไม่ยอมรับ ได้แก่ ลูกเขยกับแม่ยาย พี่เขยกับน้องเมีย และพ่อผัวกับลูกสะใภ้        เรื่องที่ไม่หยาบโลน ได้แก่ เรื่องที่มีแนวคิดเกี่ยวกับความฉลาด ความโง่ ความเกียจคร้าน เรื่องเกี่ยวกับคนต่างชาติต่างถิ่น        แนวคิดสำคัญที่ปรากฏบ่อยในมุขตลกของไทยมี ๗ ประการคือ ความฉลาด ความโง่ ความเกียจคร้าน เรื่องเพศ คนพิการ ผู้มีสถานะสูงในสังคม และคนต่างถิ่น หรือต่างชาติ
        ความฉลาด        ความฉลาดเป็นแนวคิดที่พบบ่อยมากในมุขตลกของไทย ตัวละครเอกเป็นคนฉลาดมีไหวพริบดี บางทีก็ฉลาดแกมโกง มักใช้ความฉลาด และไหวพริบ เพื่อประโยชน์ของตน เช่น แก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อเอาตัวรอด เพื่อให้ตนได้ประโยชน์ หรือทำความเดือดร้อนรำคาญใจให้แก่ผู้อื่น มุขตลกของไทยที่มีแนวคิดเกี่ยวกับความฉลาด มีไหวพริบ คือ เรื่องเซียงเมี่ยง
        ความโง่หรือเปิ่น
        มุขตลกที่มีแนวคิดเกี่ยวกับความโง่ หรือความเปิ่นนี้ มักเล่าถึงพฤติกรรมของคนโง่ ซึ่งขาดสติปัญญา หรือขาดความรู้ขาดประสบการณ์ ไม่ทันสมัย หรือเป็นคนเถรตรงเกินไป จนทำอะไรเปิ่นอย่างคาดไม่ถึง ตัวละครอาจเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ได้ มุขตลกบางเรื่องแสดงแนวคิดเกี่ยวกับความฉลาด ควบคู่กับความโง่เขลา คือ ตัวละครเด่นที่มีลักษณะตรงกันข้าม คนหนึ่งเฉลียวฉลาด แต่อีกคนหนึ่งโง่


ตัวอย่างนิทานมุขตลก เรื่องเซียงเมี่ยงแข่งชนควาย (ภาษาอีสาน)


        ช่วงนึงเนาะ  ณ เมืองธานี ขาเจ้ามีควายโตด โตนึงชนเก่งคัก เหมิดเมืองธานี บ่มีควายโตได๋ สิชนสู้ควายโตดโตนี้ได้ เป็นควายชนะเลิศในเมืองธานี ว่านเถาะไป๋ เจ้าเมืองธานี ต้องการประกาศศักดา ของเมืองธานี ให้เมืองใหญ่อย่างทวาลีได้รับรู้ กะเลยส่งควายโตนี้ มาเมืองทวาลี พร้อมกับจดหมายท้าประลองว่า ควายโตดโตนี้ ชนเก่งคัก ควายเมืองทวาลี มีโตได๋ชนสู้บ่   เมืองทวาลีเป็นเมืองใหญ่เนาะ ส่วนเมืองธานี เป็นเมืองน้อย ๆ ถ้าแค่ควายยังแพ้ พระราชาสิเอาหน้าไปไว้ไส (กะเอาไว้กับหัวคือเก่านั่นล่ะ ดีแล้ว) กะเอิ้นประชุมเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย ให้ซ่อยกันหาควายที่ชนเก่ง ๆ เสนาอำมาตย์ทั้งหลาย กะพากันเสาะแสวงหาแล้ว โตที่ชนเก่งที่สุด กะยังบ่มั่นใจว่า สิเอาชนะบักควายโตดเมืองธานีได้   เฮ็ดจั่งได๋ล่ะทีเนี่ย     สิบ่แข่งกะบ่ได้ ถ้าแข่งแล้วสิแพ้กะบ่ได้เฮ็ดจั่งได๋ล่ะทีนี่   พระราชาเลยลองปรึกษาเซียงเมี่ยง เซียงเมียง กะขันอาสาอีก (บ่แมน.. แอกกะแด้ แอ๊ก เด้อ) เลาแก้ไขสถานการณ์จั่งได๋ล่ะวะติ๊   อยากฮู้กะอ่านต่อไปสะล่ะล่ะ  เซียงเมี่ยงกะ ไปหาควายน้อย ที่ยังบ่ทันเซานมมาโตนึง เอามาขังไว้ บ่ให้กินนม   พอฮอดมื้อแข่ง คนเมืองธานี จัดควายโตดเข้าลานแข่งเรียบร้อย คองท่าควายจากเมืองทวาลี เด้ เซียงเมี่ยง กะปล่อยควายน้อยโตนั่น ออกมา ซั่นแหล่ว คนเมืองธานี พร้อมทั้งท่านผู้ชมทั้งหลาย เห็นควายน้อยกะคึดว่าโตน้อย ๆ ย่างกะยังบ่แข็ง มันสิชนสู้ได้จั่งได๋ ควายน้อยโตนั่น มันหิวนมอย่างคัก หิวจนตาลายเอาโลด เหลียวเห็นควายโตดโตนั่น ยืนเท่อเล่ออยู่ คึดว่าแมนแม่เจ้าของฮึได๋บุ๊   แล่นเข้าไป เด่หัวเข้าใต้ท้อง สิดูดกินนม กะยังว้ากะยังว่า ควายโตดตกใจ ที่ถืกดูดนม กะแล่นหนี ควายน้อยกะแล่นนำ ควายโตดกะแล่นหนี แล่นวนไปวนมา แล้วกะแล่นหนี ออกจากหม่องแข่งขัน คนกะโสกันว่าควายโตดอีหยัง ย่านควายน้อย แล่นหนีควายน้อยเสย  คนเมืองธานีอยากอายคน ที่ควายโตดมันย่านควายน้อย กะฟ้าวพาควายโตด กลับเมืองธานี สะล่ะล่ะ เซียงเมี่ยง กะซ่อยแก้หน้าให้เมืองทวาลีได้ จั่งซี้ล่ะ 


ตัวอย่างนิทานเรื่อง เซียงเมี่ยง




นิทานก้อม

นิทานก้อม คือ..........


        นิทานก้อม คือ นิทานเรื่องสั้น ที่มีเนื้อหาไม่ยาว เป็นเรื่องสนุกสนาน ฟังแล้วบันเทิง ขำขัน เรื่องราวส่วนใหญ่เป็นเรื่องล้อเลียนผู้คน ที่ทำตัวผิดปกติ ผิดชาวบ้าน หรือทำอะไรผิดๆ พลาดๆ เซ่อๆ ซ่าๆ เรื่องราวหน้าแตก เรื่องเปิ่นๆ ป่วงๆ ฟังแล้วขบขัน เป็นการคลายเคลียดไปในตัว และที่สำคัญ เป็นเรื่องของชาวอิสานบ้านตั้งแต่เก่าก่อน เล่าสืบต่อกันมา ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของคนสองคน เช่น แม่ยายกับลูกเขย พ่อตากับลูกเขย พี่เขยกับน้องเมีย หลวงพ่อกับเณร  และเซียงเมี่ยงกับพระราชา เป็นต้น

ตัวอย่างนิทานก้อม.....



เกี่ยวกับผู้เขียน

สวัสดีครับ.....




     ตัวฉันนี้มีนามว่า “จักรกฤต”         หมอทำคลอดท่านคิดชื่อให้ตั้ง
                          นามสกุลคือ “ปัตติลาพัง”                  ฉันก็ยังไม่รู้แน่แปลว่าอะไร
                          คำว่า “โก้” นั่นคือเรียกชื่อเล่น            ไม่โดดเด่นแต่มีดีที่นิสัย
                          ภูมิลำเนาหรือบ้านเกิดก็ไม่ไกล             ตั้งอยู่ใน “สารคาม”ตามทะเบียน
    “อำเภอนาดูน” บ้านเมืองแสนสะอาด     มีพระธาตุน้อมไหว้ขึ้นเหนือเศียร
                          “นาดูนประชาสรรพ์”คือโรงเรียน          เคยอ่านเขียนศึกษาวิชาการ  
   ฉันนั้นหรือถือคติ “คิดให้เป็น”            ทำอะไรต้องให้เห็นเป็นแก่นสาร
                           สร้างความดีตั้งมั่นไว้ในสันดาน            ก็จะพานพบแต่สุขทุกคืนวัน....