นิทานมุขตลก
นิทานมุขตลกที่นิยมเล่ากันในสังคมไทยมีอยู่เป็นจำนวนมาก อาจแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ เรื่องที่มีลักษณะหยาบโลน และเรื่องที่ไม่หยาบโลน
เรื่องที่มีลักษณะหยาบโลน ได้แก่
เรื่องเกี่ยวกับพรหมจรรย์กับราคะวิตถาร ในมุขตลกของไทย
ผู้ที่ตกเป็นเป้าของการล้อเลียนในเรื่องนี้ส่วนใหญ่คือ ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ได้แก่
พระภิกษุและชี รวมทั้งผู้ที่เคยบวชเรียนนานๆ แล้วสึก และในบรรดาเครือญาติด้วยกัน
ซึ่งสังคมไม่ยอมรับ ได้แก่ ลูกเขยกับแม่ยาย พี่เขยกับน้องเมีย
และพ่อผัวกับลูกสะใภ้ เรื่องที่ไม่หยาบโลน ได้แก่
เรื่องที่มีแนวคิดเกี่ยวกับความฉลาด ความโง่ ความเกียจคร้าน
เรื่องเกี่ยวกับคนต่างชาติต่างถิ่น แนวคิดสำคัญที่ปรากฏบ่อยในมุขตลกของไทยมี
๗ ประการคือ ความฉลาด ความโง่ ความเกียจคร้าน เรื่องเพศ คนพิการ
ผู้มีสถานะสูงในสังคม และคนต่างถิ่น หรือต่างชาติ
ความฉลาด ความฉลาดเป็นแนวคิดที่พบบ่อยมากในมุขตลกของไทย
ตัวละครเอกเป็นคนฉลาดมีไหวพริบดี บางทีก็ฉลาดแกมโกง มักใช้ความฉลาด และไหวพริบ
เพื่อประโยชน์ของตน เช่น แก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อเอาตัวรอด เพื่อให้ตนได้ประโยชน์
หรือทำความเดือดร้อนรำคาญใจให้แก่ผู้อื่น
มุขตลกของไทยที่มีแนวคิดเกี่ยวกับความฉลาด มีไหวพริบ คือ เรื่องเซียงเมี่ยง
ความโง่หรือเปิ่น
มุขตลกที่มีแนวคิดเกี่ยวกับความโง่
หรือความเปิ่นนี้ มักเล่าถึงพฤติกรรมของคนโง่ ซึ่งขาดสติปัญญา หรือขาดความรู้ขาดประสบการณ์
ไม่ทันสมัย หรือเป็นคนเถรตรงเกินไป จนทำอะไรเปิ่นอย่างคาดไม่ถึง
ตัวละครอาจเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ได้ มุขตลกบางเรื่องแสดงแนวคิดเกี่ยวกับความฉลาด
ควบคู่กับความโง่เขลา คือ ตัวละครเด่นที่มีลักษณะตรงกันข้าม คนหนึ่งเฉลียวฉลาด
แต่อีกคนหนึ่งโง่
ตัวอย่างนิทานมุขตลก เรื่องเซียงเมี่ยงแข่งชนควาย (ภาษาอีสาน)
ช่วงนึงเนาะ ณ เมืองธานี ขาเจ้ามีควายโตด โตนึงชนเก่งคัก
เหมิดเมืองธานี บ่มีควายโตได๋ สิชนสู้ควายโตดโตนี้ได้ เป็นควายชนะเลิศในเมืองธานี
ว่านเถาะไป๋ เจ้าเมืองธานี ต้องการประกาศศักดา ของเมืองธานี
ให้เมืองใหญ่อย่างทวาลีได้รับรู้ กะเลยส่งควายโตนี้ มาเมืองทวาลี
พร้อมกับจดหมายท้าประลองว่า ควายโตดโตนี้ ชนเก่งคัก ควายเมืองทวาลี มีโตได๋ชนสู้บ่
เมืองทวาลีเป็นเมืองใหญ่เนาะ
ส่วนเมืองธานี เป็นเมืองน้อย ๆ ถ้าแค่ควายยังแพ้ พระราชาสิเอาหน้าไปไว้ไส
(กะเอาไว้กับหัวคือเก่านั่นล่ะ ดีแล้ว) กะเอิ้นประชุมเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย ให้ซ่อยกันหาควายที่ชนเก่ง
ๆ เสนาอำมาตย์ทั้งหลาย กะพากันเสาะแสวงหาแล้ว โตที่ชนเก่งที่สุด กะยังบ่มั่นใจว่า
สิเอาชนะบักควายโตดเมืองธานีได้ เฮ็ดจั่งได๋ล่ะทีเนี่ย สิบ่แข่งกะบ่ได้
ถ้าแข่งแล้วสิแพ้กะบ่ได้เฮ็ดจั่งได๋ล่ะทีนี่ พระราชาเลยลองปรึกษาเซียงเมี่ยง เซียงเมียง กะขันอาสาอีก (บ่แมน.. แอกกะแด้
แอ๊ก เด้อ) เลาแก้ไขสถานการณ์จั่งได๋ล่ะวะติ๊
อยากฮู้กะอ่านต่อไปสะล่ะล่ะ เซียงเมี่ยงกะ ไปหาควายน้อย ที่ยังบ่ทันเซานมมาโตนึง
เอามาขังไว้ บ่ให้กินนม พอฮอดมื้อแข่ง
คนเมืองธานี จัดควายโตดเข้าลานแข่งเรียบร้อย คองท่าควายจากเมืองทวาลี เด้
เซียงเมี่ยง กะปล่อยควายน้อยโตนั่น ออกมา ซั่นแหล่ว คนเมืองธานี พร้อมทั้งท่านผู้ชมทั้งหลาย
เห็นควายน้อยกะคึดว่าโตน้อย ๆ ย่างกะยังบ่แข็ง มันสิชนสู้ได้จั่งได๋ ควายน้อยโตนั่น
มันหิวนมอย่างคัก หิวจนตาลายเอาโลด เหลียวเห็นควายโตดโตนั่น ยืนเท่อเล่ออยู่
คึดว่าแมนแม่เจ้าของฮึได๋บุ๊ แล่นเข้าไป เด่หัวเข้าใต้ท้อง สิดูดกินนม
กะยังว้ากะยังว่า ควายโตดตกใจ ที่ถืกดูดนม กะแล่นหนี ควายน้อยกะแล่นนำ
ควายโตดกะแล่นหนี แล่นวนไปวนมา แล้วกะแล่นหนี ออกจากหม่องแข่งขัน คนกะโสกันว่าควายโตดอีหยัง
ย่านควายน้อย แล่นหนีควายน้อยเสย คนเมืองธานีอยากอายคน
ที่ควายโตดมันย่านควายน้อย กะฟ้าวพาควายโตด กลับเมืองธานี สะล่ะล่ะ เซียงเมี่ยง
กะซ่อยแก้หน้าให้เมืองทวาลีได้ จั่งซี้ล่ะ
ตัวอย่างนิทานเรื่อง เซียงเมี่ยง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น